ในปี 2544 สามีภรรยาคู่หนึ่งโต้เถียงกันอย่างดุเดือดภายในบ้านย่านชุนอี้ เมืองหลวงปักกิ่ง ประเทศจีน ทั้งสองเคยเป็นคู่รักที่รักกันมาก แต่เพียงเพราะพวกเขาไม่เชื่อใจกันอีกต่อไป โศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้น ทำให้คนหนึ่งต้องจากไปตลอดกาล และอีกคนต้องถูกจองจำตลอดชีวิต
เรื่องราวดังกล่าวเพิ่งถูกเปิดเผยในปี 2563 เมื่อชายสูงอายุแซ่หลิวได้ซ่อมท่อน้ำที่อุดตันในบ้าน โดยไม่คาดคิดว่าจะพบซากศพในนั้น เขารีบโทรแจ้งตำรวจด้วยความหวาดกลัว และหลังจากนั้นไม่นานตำรวจก็ได้แจ้งข่าวที่น่าตกใจ ซากศพนี้เป็น "หลิว หมิน" ลูกสาวของนายหลิวที่หายตัวไปนาน 19 ปี
เมื่อตระหนักว่านี่เป็นการฆาตกรรมที่ร้ายแรง ตำรวจปักกิ่งจึงเริ่มสืบสวนอย่างรวดเร็ว นายหลิวกล่าวว่า ในอดีตลูกสาวใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับทุกคน ไม่เคยสร้างศัตรูกับใครถึงขั้นต้องเสียชีวิต ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นลูกสาวคือเมื่อ 19 ปีที่แล้ว แต่เขาคิดเสมอว่าลูกสาวของเขายังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่อาศัยอยู่ในที่ห่างไกล และให้ข้อมูลสำคัญอีกอย่างหนึ่งว่าบ้านที่เขาพักอาศัยอยู่ตอนนี้ เคยเป็นบ้านของลูกสาวของเขาและลูกเขยมาก่อน
ตำรวจยังคงสอบถามเพื่อนบ้านรอบๆ และได้รับเบาะแสใหญ่ว่า ในอดีต หลิว หมิน และสามีมักโต้เถียงและขัดแย้งกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้ตำรวจสงสัยว่าสามีอาจเกี่ยวข้องกับการตาย อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้หลักฐานมาจึงทำการสอบสวนอย่างเข้มงวด
ตำรวจไปพบกับลุงของสามีผู้ตาย ที่เล่าว่าทั้งคู่พบกันในปี 2541 ตอนนั้นฝ่ายชายค่อนข้างหล่อมาก ดังนั้นเธอจึงตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น อย่างไรก็ดี หลังจากช่วงแห่งความรักอันหอมหวาน คนสองคนแต่งงานกันและมีลูก ชีวิตก็ไม่ต่างจากคู่อื่นๆ ทั้งคู่สะสมเงินเพื่อซื้อที่ดินและสร้างบ้าน โดยที่ฝ่ายหญิงไม่เคยคิดเลยว่าสถานที่แห่งนี้ต้องเป็นที่ที่เธอถูก "ซ่อน" อยู่ตลอดไป
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563 ตำรวจไปพบสามีของผู้ตาย ซึ่งอาศัยอยู่ในมณฑลเหอเป่ย ปัจจุบันเขากลายเป็นชายอายุเกือบ 60 ปี ผมหงอก ดูเศร้าหมองมาก เมื่อเห็นตำรวจก็ไม่มีท่าทีแปลกใจหรือกลัว ตรงกันข้ามเขายิ้มอย่างพึงพอใจ และยอมรับว่าเป็นคนฆ่าภรรยา แม้แต่ตำรวจยังประหลาดใจที่เขาสารภาพอย่างรวดเร็ว โดยให้คำตอบที่ไม่คาดคิดว่า "ผมรอให้ตำรวจมาจับนานแล้ว"
กลายเป็นว่าหลังจากฆ่าภรรยาของเขาแล้ว ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็กัดกินเขาอยู่เสมอ ไม่เคยหลับใหลอย่างสงบ เขาไม่กล้ามอบตัวกับตำรวจ แต่เขาก็รู้ว่าเขาไม่สามารถหนีจากความผิดที่ทำได้
เขายังเปิดเผยด้วยว่า ตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ ทั้งคู่มีความสุขมาก แต่ชีวิตเช่นนี้อยู่ได้ประมาณ 1 ปีเท่านั้น เขาค่อยๆ สังเกตเห็นว่าภรรยามักจะออกไปจากบ้านก่อนเวลาและกลับดึก บางครั้งก็เมากลับบ้าน อีกทั้งเขายังค้นพบร่องรอบแปลกๆ มากมายบนตัวภรรยา ดังนั้นเขาจึงสงสัยว่าเธอมีชายอื่นข้างนอก ในฐานะสามีแน่นอนว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
เขาเคยเตือนภรรยาให้ยุติความสัมพันธ์นอกกฎหมาย จากนั้นก็หันไปโน้มน้าวให้เธอคิดถึงลูกของเรา ตราบใดที่ภรรยาของเขายอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเขาก็ยังให้อภัย เพียงแต่พฤติกรรมของเธอไม่ได้เปลี่ยนไป อีกทั้งยังคบชู้อย่างอุกอาจมากกว่าเดิม แม้แต่เพื่อนบ้านยังบอกว่าเห็นภรรยาไปเที่ยวกับชายอื่น สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกอายและโกรธมาก ไม่คาดคิดว่าภรรยาจะทำโจ่งแจ้งเช่นนี้
เขายิ่งเดือดดาลเมื่อรู้ว่า "บุคคลที่สาม" เป็นใคร จึงตัดสินใจไปที่บ้านของชายคนนั้นเพื่อพูดคุยโดยตรง เมื่อเข้าไปในบ้านเห็นกระเป๋าถือของภรรยาตัวเอง เขาก็เข้าใจทุกอย่าง เขาเตือนชายคนนั้นให้อยู่ห่างจากภรรยาของเขา จากนั้นเขาก็ตามหาภรรเพื่อจะพูดคุย แต่ไม่พบเธอ จนกระทั่ง 2 สัปดาห์ต่อมา เธอกลับมาที่บ้านอีกครั้ง แต่ไม่ได้สนใจสามีและลูกเลย ในเวลานั้นเธอคิดเกี่ยวกับการหย่าร้างเท่านั้น
คืนหนึ่งในเดือนสิงหาคม 2544 เขาเพิ่งกลับมาจากที่ทำงานและได้ยินภรรยาถามว่า "คุณเอาสร้อยคอของฉันไปหรือเปล่า" แม้ว่าเขาจะปฏิเสธแต่เธอก็ยังไม่เชื่อ เริ่มดุด่าและตบหน้าเขาอย่างรุนแรง คืนนั้นเขาจึงดื่มจนเมา แต่เธอก็ยังคงตามาพูดถึงการหย่าร้างอย่างต่อเนื่อง พร้อมตั้งเงื่อนไขเรื่องลูกและบ้าน ทั้งหมดนี้เกินความอดทนของเขา ในขณะที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาหยิบอิฐจากสนามตีที่ศีรษะภรรยา เธอล้มลงและหมดสติทันที
เขากลัวมากเมื่อรู้ว่าได้ลงมือฆ่าภรรยาไปแล้ว แต่ไม่กล้าเข้ามอบตัว จึงใช้จอบฝังศพภรรยาไว้หลังบ้าน หลังจากนั้นไม่นานก็ย้ายไปอาศัยอยู่ที่อื่น โดยโกหกทุกคนว่าภรรยาของเขาไปทำงานในที่ห่างไกล กระทั่งในปี 2551 พ่อของภรรยาย้ายไปอยู่บ้านหลังดังกล่าว โดยไม่รู้เลยว่าลูกสาวได้ตายจากไปแล้ว จนมาพบศพขณะที่ซ่อมท่อประปา จึงรู้ความจริงว่าเขาอาศัยอยู่ใกล้ที่ฝังศพลูกสาวมาโดยตลอด
ล่าสุด ในช่วงสิ้นปี 2564 ศาลกรุงปักกิ่งได้นำคดีนี้ขึ้นสู่การพิจารณา สามีของผู้เสียชีวิตถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตhttp://wanna-travel.com
|