RSI (Relative Strength Index) เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่นิยมใช้ โดย RSI วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มและภาวะ Overbought (ซื้อมากเกินไป) หรือ Oversold (ขายมากเกินไป) RSI มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 โดยทั่วไปถ้า RSI สูงกว่า 70 อาจบ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในภาวะ Overbought และอาจเกิดการปรับฐาน ในขณะที่ RSI ต่ำกว่า 30 อาจบ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในภาวะ Oversold และอาจเกิดการฟื้นตัว
MACD (Moving Average Convergence Divergence) เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์โมเมนตัมและจุดตัดของเส้นค่าเฉลี่ย MACD ประกอบด้วยเส้น 2 เส้น คือ เส้น MACD และเส้น Signal เมื่อเส้น MACD ตัดขึ้นผ่านเส้น Signal อาจเป็นสัญญาณซื้อ และเมื่อเส้น MACD ตัดลงผ่านเส้น Signal อาจเป็นสัญญาณขาย
Bollinger Bands เป็นเครื่องมือที่แสดงความผันผวนของราคาและช่วงการซื้อขาย ประกอบด้วยเส้น 3 เส้น คือ เส้นกลางซึ่งเป็น Moving Average และเส้นบนและล่างที่อยู่ห่างจากเส้นกลาง 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เมื่อราคาเคลื่อนที่ใกล้หรือทะลุเส้นบนอาจเป็นสัญญาณขาย และเมื่อราคาเคลื่อนที่ใกล้หรือทะลุเส้นล่างอาจเป็นสัญญาณซื้อ
การวิเคราะห์ตลาด Forex แบ่งเป็นสองประเภทหลัก คือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเกี่ยวข้องกับการพิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่ส่งผลต่อค่าเงิน ปัจจัยสำคัญที่นักวิเคราะห์มักให้ความสนใจ ได้แก่ อัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีผลโดยตรงต่อค่าเงิน โดยทั่วไปเมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ค่าเงินมักจะแข็งค่าขึ้น
อัตราเงินเฟ้อเป็นอีกปัจจัยสำคัญ เนื่องจากมีผลต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลาง หากอัตราเงินเฟ้อสูงเกินเป้าหมาย ธนาคารกลางอาจต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น ตัวเลขการจ้างงานก็เป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจ โดยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งมักส่งผลบวกต่อค่าเงิน
GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เป็นตัวชี้วัดหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประเทศที่มี GDP เติบโตอย่างแข็งแกร่งมักจะมีค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น นโยบายการเงินของธนาคารกลางก็มีผลอย่างมากต่อค่าเงิน โดยเฉพาะการประกาศเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ
นอกจากนี้ เหตุการณ์ทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ก็สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อค่าเงิน เช่น การเลือกตั้ง การประท้วง สงคราม หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่แน่นอนและส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
การวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ข้อมูลราคาในอดีตและ Indicators เพื่อคาดการณ์ทิศทางของราคาในอนาคต หลักการสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือ "ราคาสะท้อนทุกอย่าง" ซึ่งหมายความว่าราคาปัจจุบันได้สะท้อนถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว รวมถึงปัจจัยพื้นฐานและความคาดหวังของตลาด
หลักการที่สองคือ "ราคามีแนวโน้ม" ซึ่งหมายถึงราคามักจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนทิศทาง การระบุแนวโน้มและการเทรดตามแนวโน้มเป็นกลยุทธ์ที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
หลักการสุดท้ายคือ "ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย" ซึ่งหมายความว่ารูปแบบของราคาที่เกิดขึ้นในอดีตมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต นักวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงมักมองหารูปแบบที่คุ้นเคย เช่น รูปแบบ Head and Shoulders หรือ Double Top/Bottom เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต
การใช้กราฟแท่งเทียนและการวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) แสดงราคาเปิด ปิด สูงสุด และต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง โดยแต่ละแท่งเทียนสามารถบอกเล่าเรื่องราวของการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในช่วงเวลานั้นๆ
รูปแบบแท่งเทียนที่นักเทรดควรรู้จัก เช่น Doji ซึ่งเป็นแท่งเทียนที่มีราคาเปิดและปิดใกล้เคียงกันมาก บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนในตลาด Hammer เป็นแท่งเทียนที่มีเงาด้านล่างยาวและตัวแท่งสั้น มักพบที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลงและอาจบ่งชี้ถึงการกลับตัวขึ้น Shooting Star เป็นแท่งเทียนที่มีลักษณะตรงข้ามกับ Hammer มักพบที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้นและอาจบ่งชี้ถึงการกลับตัวลง
นอกจากนี้ การวิเคราะห์แนวรับแนวต้านก็เป็นส่วนสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค แนวรับ (Support) คือระดับราคาที่มีแรงซื้อเข้ามาสนับสนุนทำให้ราคาไม่ตกต่ำไปกว่านี้ ในขณะที่แนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่มีแรงขายเข้ามากดดันทำให้ราคาไม่สูงขึ้นไปกว่านี้ การระบุแนวรับแนวต้านที่สำคัญสามารถช่วยในการกำหนดจุดเข้าเทรดและจุดทำกำไรได้
|